บทที่ 8 8

หลวนซูฮวาตบหลังมือหลานสาวเบาๆ “ยายอยู่มาจนอายุปานนี้ไม่เสียดายชีวิตอีกแล้ว ห่วงก็แต่เจ้า ยายยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องเจ้า”

“ขอบคุณท่านยาย” หลินหลินรับรู้ได้ถึงความรักที่หญิงชราคนนี้มีให้ สายใยบางอย่างไม่มีที่มาที่ไปแต่รู้สึกได้ว่าคุ้นเคยก่อเกิดขึ้นเงียบๆ หมือนมีมานานแสนนานแล้ว

“ตอนนี้เจ้ายังป่วยอยู่ พักผ่อนเถอะ ข้างนอกหย่งเล่อเพิ่งจะกลับมาจากชายแดน ยายจะไปดูเขาสักหน่อย”

“หย่งเล่อ ใครหรือเจ้าคะ”

“เจ้าคงจำไม่ได้ เพราะไม่ได้เจอกันเสียนาน หย่งเล่อลูกชายคนโตของท่านลุงหย่งสืออย่างไรเล่า เขาไปรบที่ชายแดนเพิ่งจะกลับมา เขาเอ็นดูเจ้ามาก และเสียใจมากที่เจ้าพบเจอเรื่องร้าย”

หลินหลินส่ายหน้า “ข้าจำไม่ได้ ว่าแต่หล่อไหมเจ้าคะ” หลินหลินเผลอยิ้ม รู้สึกอับอายที่ถามอะไรออกไป พอเห็นสายตาของสตรีชรามองมาด้วยแววตาสงสัยนางจึงส่งยิ้มแห้งๆ “เอ่อ ท่านยายเจ้าคะ ข้าเพิ่งฟื้นเลยพูเลอะเลือน ท่านยายอย่าถือสาข้านะเจ้าคะ วิญาณกับร่างกายของข้าอาจยังไม่รวมตัวกันดี”

สตรีชรายิ้มอ่อนๆ สีหน้าแฝงความเมตตาระคนเอ็นดู “เจ้าป่วยจริงๆด้วย นอนพักเสียเถอะหลานรัก ยายไม่กวนเจ้าแล้ว”

ลับหลังร่างสตรีชรา หลินหลินก็หันหน้าไปทางหญิงรับใช้สองคน สองคนข้างกายนี้ก็เป็นคนที่ดีต่อเจ้าของร่างนี้ไม่แปรเปลี่ยน ไม่ว่าจางชิงหลินประสบเคราะห์กรรมอะไร พวกนางก็ไม่ทอดทิ้ง แถมยังเอาชีวิตเข้าแลกขอร้องให้ปล่อยนายของพวกนางไปในตอนที่ฮ่องเต้โฉดสั่งให้จางชิงหลินคลุมผ้าผืนเดียวไปยืนตากหิมะ นับว่าเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์

ในสถานการณ์ที่น้ำใจเบาบางเช่นกระดาษ แต่ก็ยังคงมีคนที่มีคุณธรรม น้ำมิตรเหลืออยู่ จิตใจที่ห่อเหี่ยวไม่รู้สาเหตุ แม้ไม่ใช่เจ้าของร่างพลันชุ่มชื้นขึ้น

“ลู่เจียว จิวฮุ่ย ท่านยายของข้าชื่อแซ่อะไร”

คำถามของผู้เป็นนายทำให้สองบ่าวมองหน้ากัน แล้วลู่เจียวก็เป็นฝ่ายพูด “คุณหนูคงได้รับบาดเจ็บและเกิดความกระทบกระเทือนจนความจำเสื่อมจึงจำไม่ได้ใช่ไหมเจ้าคะ”

หลินหลินรีบรับคำ “ใช่ ข้าจำอะไรไม่ค่อยได้ ต่อไปอาจต้องพึ่งพวกเจ้า อย่าเพิ่งรำคาญข้าก็แล้วกัน”

“พวกบ่าวไม่มีทางรำคาญเจ้าค่ะ ท่านยายของท่าน แซ่หลวน ชื่อซูฮวาเจ้าค่ะ จวนนี้เป็นของท่านตาคุณหนู ท่านตาเป็นขุนนางขั้นสี่ในสำนักบัณฑิตแต่เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ที่จวนนี้จึงมีแต่ท่านยายพักอยู่ อ้อ ยังมีท่านลุงกับท่านป้าอยู่ด้วยเจ้าค่ะ ท่านลุงของท่านเป็นรองแม่ทัพพายัพเจ้าค่ะ”

หลินหลินพยักหน้า ฟังลู่เจียวกับจิวฮุ่ยสลับกันบอกเล่าเรื่องในครอบครัวฝ่ายมารดาให้ฟัง จนนางเข้าใจทะลุปรุโปร่ง พอฟังทุกอย่างจบนางก็เปิดปากหาว สองบ่าวเห็นดังนั้นก็พากันขอตัวออกไปเพื่อให้นางพักผ่อน หลินหลินเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว จึงลุกขึ้นจากเตียงที่แกล้งหาวนอนเพื่อให้สองบ่าวออกไป หลินหลินลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างขบคิดเรื่องราวต่างๆอยู่เงียบๆ สายลมหิมะกระทบใบหน้าจนหนาวเหน็บ ต่อไปนี้เธอต้องอยู่ในยุคชิงแห่งนี้ ต้องอยู่ไปอีกนานแค่ไหนกัน หลินหลินหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย

“เออ แล้วบทละ กำหนดเดตไลน์ใกล้เข้ามา ยุคราชวงศ์ชิงยังไม่มีไวไฟ แล้วฉันจะทำงานยังไง ไม่มีสัญญาณเน็ตของค่ายโทรศัพท์ไหนส่งสัญญาณข้ามภพได้ซะด้วย ซวยเลยโดนเล่นงานแน่” เรื่องนี้เรื่องใหญ่มาก พลาดเรื่องอื่นยังพอทน แต่พลาดส่งบทก็เหมือนถูกปลดกลางอากาศ นักเขียนบทสาวกลุ้มจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี

เช้าวันต่อมา  หลินหลินเดินมานั่งกินอาหารเช้ากับครอบครัวสกุลหลวน ประมุขชราของบ้านเห็นหลานรักออกมากินข้าวได้ก็ยิ้มกว้างตรงข้ามกับหลินหลินที่เอาแต่ครุ่นคิดทั้งคืนจนนอนไม่หลับเช้านี้จึงอยู่ในสภาพอิดโรย

“ชิงหลินเจ้าหายแล้วหรือถึงได้ออกมา”

เพราะหลายวันที่ผ่านมา สตรีชราให้บ่าวนำอาหารไปให้หลานสาวในห้อง แต่วันนี้หลินหลินอยากออกมาพบทุกคนจึงบอกบ่าวว่าจะไม่กินอาหารในห้องอีก

หลินหลินค้อมตัวตอบด้วยความนอบน้อม “ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ อยากออกมากินอาหารกับท่านยาย แล้วก็อยากคารวะท่านลุงกับท่านป้าด้วย ข้ามาอยู่ที่จวนนานแล้วแต่ยังไม่ได้คารวะท่านลุงท่านป้าเลย” หลินหลินบอกแล้วกวาดตามองคนที่อยู่ตรงโต๊ะอาหารทุกคน

นางมองเห็นบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำ ผิวสีทองแดง ที่จอนผมมีผมสีขาวแซม มองเหมือนคนที่ผ่านการลำบากจากการสู้รบมามาก ข้างๆกันมีสตรีใบหน้าขาวผ่องด้วยความเมตตานั่งอยู่ เมื่อกวาดมองไปอีกก็พบเห็นบุรุษร่างกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาด้วยวัยหนุ่ม มองดูน่าจะราวๆยี่สิบกว่าๆกำลังยิ้มมาให้ หลินหลินเผลอยิ้มตาหวาน

‘แอบฟินเบาๆ’

‘หล่ออ่ะ จะว่าไปหล่อเหมือนนักแสดงนำเรื่องจูล่งที่กำลังออกฉาย’

“พวกเราครอบครัวเดียวกันไยต้องรีบมาคารวะ อีกทั้งเจ้ายังป่วยอยู่ เพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายมา ลุงกับป้าเข้าใจ ล้วนไม่มีใครถือสาเจ้าหรอก” หลวนหย่งสือบอก

“ทำให้ท่านลุงกับท่านป้า รวมถึงทุกคนต้องเป็นห่วงแล้ว” หลินหลินค้อมกายบอก ใบหน้าก้มต่ำ ทำให้ทุกคนในสกุลหลวนไม่สบายใจ เพราะเป็นห่วง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป